Table of Contents
การทำการตลาดที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีการวางแผนและกลยุทธ์ที่ชัดเจน ซึ่งหนึ่งในโมเดลที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพในการทำการตลาดคือ STP Marketing บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ STP Marketing อย่างละเอียดและวิธีการนำไปใช้ในธุรกิจของคุณ
STP Marketing คืออะไร?
STP Marketing ย่อมาจาก Segmentation, Targeting, และ Positioning เป็นโมเดลที่ช่วยในการวางแผนและดำเนินกลยุทธ์การตลาด โดยเน้นการแบ่งกลุ่มตลาด การเลือกกลุ่มเป้าหมาย และการกำหนดตำแหน่งของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ในตลาด
1. Segmentation (การแบ่งกลุ่มตลาด)
Segmentation ใน STP Marketing คือกระบวนการแบ่งตลาดทั้งหมดออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ที่มีความต้องการหรือคุณสมบัติคล้ายกัน เพื่อให้สามารถจัดการและพัฒนาแผนการตลาดที่ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มได้
- การแบ่งกลุ่มตามภูมิศาสตร์ (Geographic Segmentation): การแบ่งกลุ่มตามตำแหน่งที่ตั้ง เช่น ประเทศ ภูมิภาค เมือง หรือพื้นที่ ตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งอาจตัดสินใจทำตลาดสินค้าในพื้นที่เมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นมากกว่าพื้นที่ชนบท
- การแบ่งกลุ่มตามประชากรศาสตร์ (Demographic Segmentation): การแบ่งกลุ่มตามลักษณะประชากร เช่น อายุ เพศ รายได้ การศึกษา อาชีพ ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กจะมุ่งเน้นไปที่ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก
- การแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรม (Behavioral Segmentation): การแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรมการซื้อหรือการใช้สินค้า เช่น ความถี่ในการซื้อ ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่ซื้อสินค้าประจำอาจได้รับข้อเสนอพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ซื้อซ้ำ
- การแบ่งกลุ่มตามจิตวิทยา (Psychographic Segmentation): การแบ่งกลุ่มตามลักษณะทางจิตวิทยา เช่น ไลฟ์สไตล์ ความสนใจ ค่านิยม ตัวอย่างเช่น สินค้าสุขภาพอาจมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกาย
การแบ่งกลุ่มตลาดอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น จากการศึกษาของ Bain & Company พบว่าธุรกิจที่ใช้การแบ่งกลุ่มตลาดอย่างถูกต้องสามารถเพิ่มกำไรได้ถึง 10% และลดต้นทุนการตลาดได้ถึง 20%
2. Targeting (การเลือกกลุ่มเป้าหมาย)
Targeting ใน STP Marketing คือการเลือกกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพและมีความน่าสนใจในการทำการตลาดมากที่สุด โดยการวิเคราะห์และประเมินขนาดของตลาด การเติบโต และความสามารถในการแข่งขัน
- การตลาดแบบครอบคลุม (Undifferentiated Marketing): การตลาดที่เน้นการใช้กลยุทธ์เดียวกันสำหรับทุกกลุ่มตลาด การใช้วิธีนี้เหมาะสำหรับสินค้าที่มีความต้องการในวงกว้าง เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค
- การตลาดแบบแยกกลุ่ม (Differentiated Marketing): การตลาดที่ใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่มตลาด การใช้วิธีนี้เหมาะสำหรับสินค้าที่มีความหลากหลายในกลุ่มเป้าหมาย เช่น เครื่องสำอางที่มีหลายสูตรสำหรับผิวประเภทต่าง ๆ
- การตลาดแบบมุ่งเน้น (Concentrated Marketing): การตลาดที่เน้นการทำการตลาดเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงสุด การใช้วิธีนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการมุ่งเน้นทรัพยากรในการตลาดในกลุ่มเฉพาะ เช่น สินค้าหรูหราสำหรับตลาดที่มีรายได้สูง
- การตลาดแบบมุ่งเน้นส่วนบุคคล (Micromarketing): การตลาดที่เน้นการปรับแต่งกลยุทธ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคลหรือกลุ่มเล็ก ๆ เช่น การตลาดสำหรับร้านค้าปลีกในชุมชน
การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ทรัพยากรในการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ จากการวิจัยของ Harvard Business Review พบว่าการมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายเฉพาะสามารถเพิ่ม ROI ได้ถึง 30%
3. Positioning (การกำหนดตำแหน่ง)
Positioning ใน STP Marketing คือการกำหนดตำแหน่งของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ในตลาด เพื่อให้สามารถสร้างความแตกต่างและความน่าสนใจในสายตาของลูกค้า
- การสร้างคุณค่า (Value Proposition): การกำหนดคุณค่าและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ การสร้างคุณค่าที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างและความน่าสนใจของแบรนด์
- การใช้ตำแหน่งที่แตกต่าง (Differentiation): การสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งโดยใช้คุณสมบัติหรือประโยชน์ที่ไม่เหมือนใคร ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหรือการออกแบบที่มีเอกลักษณ์
- การใช้แผนภูมิตำแหน่ง (Positioning Map): การใช้แผนภูมิเพื่อแสดงตำแหน่งของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ในตลาดเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง แผนภูมิตำแหน่งช่วยให้สามารถมองเห็นความแตกต่างและช่องว่างในตลาดที่สามารถใช้เป็นโอกาสทางธุรกิจได้
การกำหนดตำแหน่งที่ถูกต้องจะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและจดจำได้ง่าย จากการศึกษาของ Nielsen พบว่าแบรนด์ที่มีการกำหนดตำแหน่งที่ชัดเจนสามารถเพิ่มการรับรู้ของลูกค้าได้ถึง 20%
ตัวอย่าง STP Marketing สำหรับแบรนด์เซรั่ม
Segmentation
แบรนด์เซรั่ม “GlowRadiance” ตัดสินใจแบ่งกลุ่มตลาดตามประชากรศาสตร์และจิตวิทยา โดยเน้นไปที่ผู้หญิงอายุ 25-45 ปี ที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง และมีไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสุขภาพและการดูแลผิวพรรณ โดยการวิจัยตลาดพบว่ากลุ่มนี้มีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวดูกระจ่างใส
Targeting
GlowRadiance เลือกใช้กลยุทธ์การตลาดแบบแยกกลุ่ม โดยมุ่งเน้นไปที่สองกลุ่มหลัก:
- ผู้หญิงวัยทำงานที่ต้องการลดริ้วรอยและให้ผิวดูอ่อนเยาว์
- ผู้หญิงที่ต้องการผิวกระจ่างใสและสุขภาพดี
Positioning
GlowRadiance กำหนดตำแหน่งตัวเองเป็นแบรนด์เซรั่มพรีเมียมที่มีคุณสมบัติเด่นในการลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวกระจ่างใส ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติที่ผ่านการวิจัยและทดสอบทางคลินิก การสร้างคุณค่า (Value Proposition) ของแบรนด์เน้นที่การใช้ส่วนผสมคุณภาพสูงและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วและปลอดภัย
การตลาดและผลลัพธ์
GlowRadiance ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการโปรโมทผลิตภัณฑ์ โดยการทำแคมเปญบน Instagram และ Facebook ซึ่งเน้นการแสดงผลลัพธ์จากการใช้ผลิตภัณฑ์และการรีวิวจากผู้ใช้งานจริง นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ด้านความงามที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการรับรู้แบรนด์ ผลลัพธ์คือ GlowRadiance สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 35% ภายใน 6 เดือนหลังเปิดตัว และได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมายที่เลือกใช้